สวทช. เผย 10 เทคโนโลยีพลิกโฉมธุรกิจ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า 10 Technologies to Watch 2025

สุดทึ่งกับเทคโนโลยี ‘แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่’ ออกแบบแอนติบอดีให้มี ‘แขนสองข้างที่แตกต่างกัน’ ช่วยดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันจัดการมะเร็งตรงเป้าหมาย ปัจจุบันเริ่มพัฒนาเป็นยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแล้ว

ด้านภาคการเกษตรเริ่มใช้เทคโนโลยีปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวที่ช่วยลดการปลดดล่อยมีเทนได้ถึง 70% ขณะที่เทคโนโลยีด้าน AI ยังมีบทบาทสำคัญเพิ่มศักยภาพด้านอุตสาหกรรมและการแพทย์-ดูแลสุขภาพคนทั่วโลก

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษหัวข้อ “10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 2568” (10 Technologies to Watch 2026) ภายในงาน “Thailand Tech Show 2025” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม จัดโดย สวทช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “อว. Fair 2025” ธีม Creators of Tomorrow จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. จัดทำ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองเป็นประจำทุกปีนานกว่า 15 ปี สำหรับปีนี้ เทคโนโลยีที่คัดเลือกมาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือเทคโนโลยีด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีหุ่นยนต์, AI และการเข้ารหัส และสุดท้ายคือเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพและการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทั้งนี้เริ่มจากเทคโนโลยีแรก ได้แก่

  1. ไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ (Turquoise Hydrogen)

หนึ่งในกระบวนการผลิตไฮโดรเจนที่น่าจับตามองและเหมาะกับประเทศไทยซึ่งผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูง เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซธรรมชาติผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมอย่างระบบท่อก๊าซได้ โดยนำก๊าซธรรมชาติมาผ่านการแยกสลายด้วยความร้อนเพื่อให้ได้ไฮโดรเจนโดยที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แถมยังให้ผลพลอยได้เป็นผงคาร์บอนที่นำไปใช้ต่อได้อีก ที่สำคัญยังใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ปัจจุบันการผลิตไฮโดรเจนสีฟ้าเทอร์คอยส์ก้าวหน้าไปมาก เช่น บริษัท Monolith สหรัฐอเมริกา เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว ด้วยเทคโนโลยีพลาสมาความร้อนสูง ได้ไฮโดรเจนและผงคาร์บอนปริมาณสูง ลดก๊าซเรือนกระจกได้สูงถึงร้อยละ 99

  1. เหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel)

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงทั่วโลกราว 7% ถือว่าสูงที่สุดในบรรดาอุตสาหกรรมหนักทั้งหมด ปัจจุบันจึงมีแนวคิดการผลิต “เหล็กกล้าสีเขียวหรือเหล็กกล้ารักษ์โลก (Green Steel)” คือ เหล็กที่ผลิตโดยใช้กระบวนการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได- ออกไซด์ เปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิม คือ BF-BOF ที่ใช้เตาหลอมแบบ Blast Furnace (BF) และ Basic Oxygen Furnace (BOF) มาสู่กระบวนการแบบใหม่ คือ “DRI-EAF (Direct Reduce Iron-Electric Arc Furnace)” นำพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวมาใช้ในการผลิตเหล็กพรุน ก่อนนำมาหลอมรวมกับเศษเหล็กในเตาหลอมไฟฟ้าระบบอาร์ก (Electric Arc Furnace: EAF) ที่ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนตลอดกระบวนการผลิตจนได้เหล็กกล้าปลอดฟอสซิล ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อการผลิตเหล็ก 1 ตัน จาก 2,300 กิโลกรัม เหลือ 200-600 กิโลกรัม

  1. เทคโนโลยีพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน (Low Fumarate, High Ethanol or LFHE Eco-friendly Rice)

“การปลูกข้าว” เป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในภาคการเกษตร ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งเสริม “การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง” เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากนาข้าว แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดทำได้เฉพาะนาชลประทาน การพัฒนา “พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทน” จึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูง เพราะใช้ได้ทั้งนาน้ำฝนและนาชลประทาน พันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนมีคุณสมบัติสำคัญคือ รากผลิตเอทานอลปริมาณมาก และผลิตฟูมาเรตน้อยลง โดยฟูมาเรตเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียที่สร้างมีเทน จึงทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ไม่ดี และปล่อยมีเทนน้อยกว่าข้าวปกติ ปัจจุบันประเทศจีนพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนจากข้าวสายพันธุ์ “Heijing (เฮจิง)” สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้สูงถึงร้อยละ 70 และให้ผลผลิตสูงถึง 1.4 ตันต่อไร่ ทั้งนี้การผลิตข้าวลดการปล่อยมีเทนยังมีจุดเด่น คือ ต้นทุนการผลิตต่ำ ขยายผลสู่เกษตรกรได้จริง ตอบโจทย์เชิงนโยบายและการตลาดไปพร้อมกัน ด้วยการแสดงข้อมูลสิ่งแวดล้อมสำหรับตลาดพรีเมียม

สวทช. มีองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการพัฒนาพันธุ์ข้าว เป็นศูนย์กลางการใช้เทคโนโลยี Marker Assisted Selection ระดับประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมพัฒนาพันธุ์ข้าวลดการปล่อยมีเทนร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร

  1. หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ (Humanoid Robot)

หุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ หรือ หุ่นยนต์ที่ออกแบบให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีล้ำสมัย เพราะมี “ความอเนกประสงค์” ไม่ว่าจะเดินสองขาเหมือนมนุษย์ หยิบจับสิ่งของแม่นยำ หรือแม้แต่เรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมจากการฝึกฝนในโลกเสมือน ที่สำคัญยังมีรูปลักษณ์ที่เป็นมิตร ปัจจุบันมีการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์เพื่อนำไปใช้ในงานด้านต่าง ๆ เช่น หุ่นยนต์ Optimus ของบริษัท Tesla ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต, หุ่นยนต์ Atlas ของบริษัท Boston Dynamics ใช้ในสภาพแวดล้อมอันตรายและภัยพิบัติ และ หุ่นยนต์ Unitree G1 ของบริษัท Unitree Robotics เป็นฮิวแมนอยด์ที่เปรียบเหมือนเป็นร่างอวตารของ AI มีความยืดหยุ่นเหนือระดับคนทั่วไป และเคลื่อนไหวได้แบบไร้ขีดจำกัด

  1. ปัญญาประดิษฐ์ที่รู้คิดและตัดสินใจได้เอง (Agentic AI)

Agentic AI คือ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองจนวางแผนดำเนินงาน พร้อมปฏิบัติงานมุ่งเป้าและตัดสินใจเองได้ ทั้งยังเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ด้วย ปัจจุบัน Agentic AI มีทิศทางการพัฒนาไปสู่การสร้างระบบนิเวศของ AI ที่ซับซ้อนและทำงานร่วมกันได้มากขึ้น ผ่านระบบหลายตัวแทน หรือที่เรียกกันว่า AI Agent ซึ่งเริ่มนำไปประยุกต์ใช้ในแวดวงการเงินและการธนาคาร เช่น บริษัท Finnomena ใช้ AI Agent คัดกรองอีเมลจากพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ ก่อนจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อส่งต่อไปยังนักลงทุน และยังใช้เพื่อตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ ขณะที่ประเทศจีนนำ AI Agent มาจำลองบทบาทนักเรียนที่มีบุคลิก ลักษณะนิสัย และความสามารถที่แตกต่างกัน เพื่อฝึกสอนครู สวทช. มีงานวิจัย Agentic AI ที่ใช้ช่วยเหลือคนพิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยประยุกต์ใช้สร้างคำบรรยายแทนเสียงแบบอัตโนมัติ ช่วยคนหูหนวกเข้าถึงข้อมูลด้วยการอ่านข้อความแทนการฟังเสียง

  1. การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม (Post-Quantum Cryptography: PQC)

คอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ที่เร็วขึ้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนกฎของการคำนวณ ทำให้ถอดรหัสข้อมูลที่เคยปลอดภัยได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งภัยคุกคามที่น่ากังวลที่สุดคือผู้ไม่หวังดีอาจดักเก็บข้อมูลที่เข้ารหัส แล้วรอถอดรหัสในวันที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมพร้อมใช้งาน เทคโนโลยี “การเข้ารหัสลับหลังยุคควอนตัม” จึงเป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เป็นการสร้างกุญแจที่ถอดรหัสยากขึ้นกว่าเดิม โดยอัลกอริทึมเหล่านี้มักใช้ขนาดกุญแจหรือลายเซ็นที่ใหญ่ขึ้น ทั้งนี้มีสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานอัลกอริทึม PQC ที่ป้องกันการโจมตีจากคอมพิวเตอร์ควอนตัม ตัวอย่างบริการแบบนี้ในตลาดโลก เช่น Amazon Web Services (AWS), IBM Quantum Safe, Google Cloud ที่ได้นำลายมือชื่อดิจิทัลที่ทนทานต่อควอนตัมมาใช้

  1. 7. อุปกรณ์อัจฉริยะฝังในร่างกาย (Smart Implants)

Smart Implants คือ อุปกรณ์ฝังในร่างกาย ที่นอกจากจะทำหน้าที่พื้นฐาน เช่น ทดแทนอวัยวะหรือช่วยการทำงานของอวัยวะบางส่วนแล้ว ยังตรวจวัดสัญญาณชีพ ประมวลผล และส่งข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์ อุปกรณ์ประเภทนี้มักประกอบด้วยเซนเซอร์ขนาดเล็ก ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสื่อสารไร้สาย และอัลกอริทึม AI เพื่อสนับสนุนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ปัจจุบันมีการใช้งาน Smart Implants ในหลายรูปแบบ เช่น อุปกรณ์กระตุ้นสมองส่วนลึก สำหรับผู้ป่วยพาร์กินสันที่ควบคุมอาการสั่นได้ และบางรุ่นสามารถตรวจจับคลื่นสมองเพื่อปรับแรงกระตุ้นได้อัตโนมัติ อุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องแบบฝังในผิวหนัง เช่น Eversense CGM ที่ติดตามค่ากลูโคสได้ยาวนานถึง 365 วันโดยไม่ต้องเปลี่ยนเซนเซอร์บ่อย ๆ และประสาทหูเทียมอัจฉริยะที่ส่งสัญญาณและปรับระดับเสียงได้ พร้อมด้วยหน่วยความจำสำหรับจัดเก็บข้อมูลการได้ยิน เช่น Cochlear Nucleus Nexa

  1. 8. เทคโนโลยีเอพิเจเนติกเพื่อการตรวจประเมินสุขภาพระดับเซลล์ (Epigenetic Technology for Cellular Health Assessment)

เทคโนโลยีด้านการแพทย์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพันธุกรรมมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากจนล่วงรู้ถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของยีน ช่วยเปิดเผยความเสื่อมของร่างกายและทำนายโรคได้แม่นยำขึ้น ดังเช่น เทคโนโลยีเอพิเจเนติกที่ศึกษาการควบคุมการทำงานของยีนในร่างกาย โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับดีเอ็นเอ ผ่านวิธีที่เรียกว่า นาฬิกาทางชีวภาพ วิธีที่นิยมคือการวิเคราะห์รูปแบบการเติมหมู่เมทิล (Methyl Group) บนตำแหน่งจำเพาะของ DNA เพื่อดูว่ายีนนั้นมีการแสดงออกหรือไม่ ทำให้รู้อายุขัยที่ “ตรงตามความเป็นจริง” มากกว่าการดูจากอายุตามปฏิทิน ตัวอย่าง บุคคลที่มีอายุ 35 ปี แต่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ เครียด ไม่ออกกำลังกาย ทำให้อายุชีวภาพที่แท้จริงของร่างกายเริ่มเสื่อมจนเท่ากับคนอายุ 45 ปี นับเป็นข้อมูลที่ช่วยให้วางแผนปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ปัจจุบันเริ่มมีบริษัทให้บริการการตรวจเอพิเจเนติกแก่บุคลทั่วไปในหลายประเทศ

  1. 9. เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัย (Longevity Cosmeceuticals)

การดูแลสุขภาพผิวและความงามในปัจจุบันไม่ได้เน้นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังให้ความสำคัญถึงสุขภาพที่ดีจากภายในเพื่อผลในระยะยาวด้วย เวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยเป็นเทคโนโลยีที่ไม่เพียงเน้นการดูแลสุขภาพผิวภายนอก เช่น การลดริ้วรอย หรือเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวเท่านั้น แต่มีจุดเด่นคือการค้นหาสารออกฤทธิ์ที่แก้ปัญหากับกลไกหลักของความชรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชราของผิว เช่น การลดจำนวนเซลล์ชรา หรือกระตุ้นการทำงานของยีนซ่อมแซมผิว และยืดอายุผิวออกไปได้อย่างมีนัยสำคัญ เรียกได้ว่าเป็นการแก้ไขความชราในระดับเซลล์ ทั้งนี้ในต่างประเทศมีบริษัทที่ขยายตลาดทางด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยแล้ว เช่น AstaReal และ Beiersdorf ในประเทศไทยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจพัฒนาเวชสำอางอยู่จำนวนหนึ่ง

สวทช. มีงานวิจัยด้านเวชสำอางเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่าง ๆ ผ่าน “แพลตฟอร์มสร้างนวัตกรรมสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย” มีบริษัทสตาร์ตอัปจากงานวิจัย เช่น Krono-Life ที่ได้นำส่วนผสมของสารออกฤทธิ์จากสมุนไพรไทย มาพัฒนาเป็นนวัตกรรมสารออกฤทธิ์ Zenolase และผลิตภัณฑ์ ZenoLase Evanesce Serum

  1. 10. แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ (Bispecific Antibody)

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรโลก ซึ่งยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลดีและหายขาด แต่ขณะนี้เทคโนโลยีแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่กำลังได้รับการจับตาในฐานะเทคโนโลยีแห่งความหวังที่จะเข้ามาปฏิวัติการรักษามะเร็งแบบให้ผลแม่นยำและอาจส่งผลให้การติดเชื้อไวรัสอย่าง HIV หายขาดได้

ปกติแอนติบอดีในร่างกายจะมี “แขนสองข้างที่เหมือนกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายบนผิวเซลล์เชื้อโรคได้เพียงชนิดเดียว แต่แอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ เป็นการออกแบบให้มี “แขนสองข้างที่แตกต่างกัน” ทำให้จับกับเป้าหมายที่ต่างกัน 2 ชนิดได้ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างการนำไปใช้งาน เช่น ทีเซลล์ เอนเกจเจอร์ (T cell Engager) เป็นการออกแบบแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ที่แขนข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวเซลล์มะเร็ง และแขนอีกข้างหนึ่งจับกับโปรตีนบนผิวทีเซลล์ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสมือนดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้ามาใกล้เซลล์มะเร็งเป้าหมาย และช่วยให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น เปรียบได้กับการสร้างสะพานให้กองกำลังทหารเข้าโจมตีผู้ร้ายได้ตรงจุด

ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้เริ่มใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดและไขกระดูก ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ยาบลินไซโต (Blincyto(R)) หรือ บลินาทูโมแมบ (Blinatumomab) เป็นแอนติบอดีจำเพาะแบบคู่ตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน และขยายผลสู่การรักษาโรคมะเร็งชนิดก้อน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง ที่สำคัญคือการใช้รักษาโรคติดเชื้อ เช่น HIV

อย่างไรก็ดี สวทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 10 เทคโนโลยีที่คัดเลือกมานั้น จะเป็นข้อมูลให้นักธุรกิจเลือกลงทุนใน “เทคโนโลยีดาวรุ่ง” ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะผ่านการสนับสนุนหน่วยงานวิจัยไทย เช่น สวทช. เพราะมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร ความรู้ และโครงสร้างพื้นฐาน ไม่แน่ว่าเทคโนโลยีแบบใดแบบหนึ่งอาจจะเป็น Game Changer สำหรับประเทศก็เป็นได้