จากฝันสู่ฟ้า ไทยเตรียมเปิดตัวสายการบินอวกาศเจ้าแรกในเอเชีย” ธนิก นิธิพันธวงศ์ จุดประกายความหวังใหม่ สู่อุตสาหกรรมอวกาศไทยยุคใหม่

“ความฝันไปอวกาศ” ไม่ได้เป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป จากเวที The Stage 2025 ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการเทคโนโลยีไทย เมื่อ ธนิก นิธิพันธวงศ์ วิศวกรออกแบบเครื่องบินและยานอวกาศติดจรวด ผู้ร่วมภารกิจของ Virgin Galactic และผู้บุกเบิกการเป็นนักบินอวกาศของไทย เปิดเผยแนวคิดการจัดตั้ง “สายการบินอวกาศ” (Spaceline) กับเป้าหมายที่จะมี “ประเทศไทย” เป็นฐานปฏิบัติการหลักแห่งแรกในเอเชีย

จากเวทีเสวนาสู่ความจริง เส้นทางของไทยสู่อวกาศ ในช่วง Highlight Session “จากความฝันสู่ความจริง: เส้นทางของไทยสู่การมีนักบินอวกาศคนแรก” ธนิกได้เล่าถึงประสบการณ์ร่วมงานกับ Virgin Galactic บริษัทที่เปิดเที่ยวบินอวกาศเชิงพาณิชย์สำเร็จเป็นรายแรก ๆ ของโลก ด้วยเที่ยวบิน “Galactic 01” เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 ณ ท่าอวกาศยาน Spaceport America รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา

ธนิก นิธิพันธวงศ์ คือคนไทยเพียงไม่กี่คนที่ได้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ ในฐานะวิศวกรการบินและอวกาศ ระบบที่ใช้คือ “แบบปล่อยกลางอากาศ” (Air-Launch System) ซึ่งยานแม่หรือเครื่องบินบรรทุกจะนำยานอวกาศขึ้นสู่ความสูงระดับหนึ่งก่อนปล่อยให้ทะยานสู่ขอบอวกาศ จากนั้นร่อนกลับลงมาจอดอย่างปลอดภัยบนรันเวย์ โดยประสบการณ์ระดับโลกนี้เองที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับมาสร้างเส้นทางใหม่ให้ประเทศไทย เส้นทางที่จะเชื่อม “ฟ้าไทย” เข้ากับ “จักรวาล” อันจะกลายเป็น จุดกำเนิด “สายการบินอวกาศไทย” ในอนาคต

ธนิก นิธิพันธวงศ์ ยังได้กล่าวถึงแนวคิด “Spaceline” หรือ “สายการบินอวกาศ” ในงาน Thailand Space Expo 2025 มหกรรมด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายว่า ถ้า Airline คือสายการบินในโลก ดังนั้น Spaceline ก็คือสายการบินสู่อวกาศ ที่ทำการบินในระดับความสูงไม่น้อยกว่า 100 กิโลเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นบริเวณที่เรียกว่าเส้นคาร์มาน (K?rm?n Line) สายการบินอวกาศจะให้บริการเที่ยวบินสู่อวกาศ ทั้งเพื่อการวิจัย วิทยาศาสตร์ และการท่องเที่ยว โดยมีระบบการดำเนินงานคล้ายสายการบินทั่วไป แต่จะใช้ “ท่าอวกาศยาน” (Spaceport) แทนสนามบิน ซึ่งการเดินทางไปนอกโลกมี 2 ประเภทหลักคือ การบินใต้วงโคจร (Suborbital Flight) และการบินในวงโคจร (Orbital Flight)

การบินใต้วงโคจร (Suborbital Flight) คือการเดินทางสู่อวกาศเป็นเวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาที แล้วก็กลับลงมาบนโลกทันที ขึ้นแล้วลง เพื่อที่จะได้แตะอวกาศในส่วนที่ใกล้กับชั้นบรรยากาศของโลกหรือที่เราเรียกกันว่าขอบอวกาศ และการบินในวงโคจร (Orbital Flight) คือการเดินทางสู่อวกาศแล้วโคจรรอบโลกก่อนหรือไปในห้วงอวกาศ โดยไม่ได้กลับทันที ซึ่งรวมถึงการเดินทางไปยังสถานีอวกาศ (Space Station) และดาวดวงอื่น

ส่วนระบบการบินจะมีอยู่ 2 แบบที่ สายการบินอวกาศ (Spaceline) ต้องเลือกให้สอดคล้องกับ ท่าอวกาศยาน (Spaceport) ในการรองรับ ไม่ว่าจะเป็นระบบจรวดที่ปล่อยจากพื้นดิน แล้วใช้ร่มชูชีพพยุงแคปซูลลูกเรือตอนกลับ เหมือนของ Blue Origin หรือ ระบบยานที่ปล่อยกลางอากาศ แบบเดียวกับที่ Virgin Galactic ใช้

หากประเทศไทยสามารถวางแผนสร้าง ท่าอวกาศยาน (Spaceport) ควบคู่ไปกับการพัฒนา สายการบินอวกาศ (Spaceline) ได้สำเร็จ ก็จะเป็นการเปิดประตูสู่อุตสาหกรรมอวกาศเชิงพาณิชย์แห่งแรกของเอเชียอย่างแท้จริง นับเป็นก้าวใหญ่ของไทยกับ GISTDA และพันธมิตรระดับโลกเลยทีเดียว

สำหรับ GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของไทยในด้านอวกาศ ได้เผยวิสัยทัศน์การพัฒนา “Spaceport แห่งอนาคตของไทย” โดยอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกับที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง KPMG เพื่อประเมินประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ถึงแม้ยังคงเป็นการวางแผนงาน แต่โครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่ “อุตสาหกรรมอวกาศภาคเอกชน” ที่หน่วยงานรัฐไม่ต้องแบกรับภาระทั้งหมดเหมือนในอดีตอีกต่อไป

การเกิดขึ้นของ Spaceline และ Spaceport จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างระบบนิเวศด้านการบินอวกาศเชิงพาณิชย์ (Commercial Spaceflight Ecosystem) ไม่เพียงแต่การจัดตั้งสถานีปล่อยจรวดหรือยานอวกาศ แต่ยังมีประสิทธิภาพมากพอที่จะเป็นศูนย์กลางซ่อมบำรุง การผลิตชิ้นส่วน สถานที่ฝึกนักบินอวกาศ และงานวิจัยนวัตกรรมอวกาศ ซึ่งจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลให้ประเทศไทยพร้อมกับการเป็น “ฐานอวกาศเอเชีย” ทั้งนี้ ธนิก กล่าวบนเวที ด้วยความมั่นใจว่า “ประเทศไทย มีศักยภาพครบพร้อม ทั้งด้านภูมิศาสตร์ บุคลากร วิศวกรรม และแรงบันดาลใจ เหลือแต่เพียงการลงมือปฏิบัติ” โดยเล็งเห็นว่าไทยตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมกับการปล่อยยานสู่วงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) อีกทั้งยังมีอุตสาหกรรมการบินที่เข้มแข็ง ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่อวกาศได้ไม่ยาก หากมีการร่วมมือกันระหว่างรัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด คาดว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่ารวมกว่า 30 ล้านล้านบาท ครอบคลุมทั้งการสื่อสาร ดาวเทียม การขนส่ง การท่องเที่ยวอวกาศ และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ จึงเป็น อุตสาหกรรมมูลค่า “30 ล้านล้านบาท” ที่ไทยไม่ควรพลาด หากไทยก้าวทันในวันนี้ จะเกิดการสร้างงานใหม่ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการยกระดับศักยภาพบุคลากรด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไม่ “ตกขบวนอวกาศ” ที่กำลังจะกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของเศรษฐกิจโลก ภารกิจสำคัญ คือการปลูกฝันคนรุ่นใหม่ สู่ภารกิจ “อวกาศไทย” ธนิก กล่าวฝากแรงบันดาลใจถึงเยาวชนไทยว่า “อยากเห็นคนไทยรุ่นใหม่กล้าฝัน กล้าทำ และกล้ามองฟ้า เพราะอวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป สักวันหนึ่ง คนไทยอาจจะได้ขึ้นไปอวกาศ จากผืนดินไทยจริง ๆ”

วันนี้ ธนิก นิธิพันธวงศ์ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังใหม่ให้กับชาติ เขาไม่เพียงฝันถึงการเป็นนักบินอวกาศ แต่ยังจุดประกายให้ “อุตสาหกรรมอวกาศไทย” เริ่มต้นขึ้นจริง และในภายภาคหน้า…เราอาจได้เห็น “เที่ยวบินอวกาศลำแรกของเอเชีย” ทะยานขึ้นจาก “ท่าอวกาศยานประเทศไทย” และนี่คือ จุดเริ่มต้นของโลกยุคใหม่ ที่ขอบฟ้าไร้ขีดจำกัด