เทคโนโลยีในปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนแค่รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คน แต่ยังกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีเรียนรู้ และการรับมือกับความท้าทายในโลกยุคใหม่ เมืองที่เคยเป็นเพียงฉากหลังของชีวิตประจำวัน กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบอัจฉริยะที่มีความสามารถในการสังเกต วิเคราะห์ และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพื่อเป้าหมายในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน ปลอดภัย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนได้ครอบคลุมทุกมิติและทุกช่วงเวลา วันนี้ OPEN-TEC ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Knowledge Sharing Platform) ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP จะพาไปเข้าสู่ยุคใหม่ที่ยกระดับขีดความสามารถของเมืองให้ “คิด” ได้อย่างมีนัยสำคัญ
เมืองที่ขับเคลื่อนด้วยระบบดิจิทัล: จากเซ็นเซอร์สู่ระบบอัจฉริยะ
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะเริ่มต้นจากการติดตั้งเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายความเร็วสูง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทั้งด้านการจราจร การใช้พลังงาน คุณภาพอากาศ และการให้บริการสาธารณะ ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านแดชบอร์ด เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม เมืองในปัจจุบันได้ก้าวไปไกลกว่าการเก็บข้อมูลและการเฝ้าสังเกต โดยสามารถวิเคราะห์ คาดการณ์ และตัดสินใจล่วงหน้าได้ ด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการจำลองข้อมูลเชิงลึกมาใช้ทำให้เมืองสามารถตั้งสมมติฐาน เช่น ผลกระทบจากการปรับค่าผ่านทางต่อปริมาณการจราจร หรือผลลัพธ์จากการเปลี่ยนเส้นทางรถโดยสารสาธารณะต่อคุณภาพอากาศและการเข้าถึงบริการของประชาชน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของเมืองได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ปัญญาประดิษฐ์: จากเครื่องมือสู่เพื่อนร่วมวางแผนเมือง
ปัญญาประดิษฐ์ในยุคปัจจุบัน กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้ช่วยในการตัดสินใจที่เข้าใจระบบเมืองอย่างครบถ้วน โดย AI สามารถประมวลผลข้อมูลหลากหลายประเภท ทั้งข้อความ วิดีโอ สัญญาณเซ็นเซอร์ และข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อวิเคราะห์และเสนอแนวทางเชิงนโยบายอย่างแม่นยำ หนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญคือ การจำลองแบบใช้ตัวแทน (Agent-Based Simulation) ซึ่งสร้างเมืองจำลองที่มีประชากรเสมือนจริง เช่น การเดินทาง การใช้ชีวิต และการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้นักวางแผนหรือผู้บริหารสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายในโลกจำลองเพื่อประเมินผลกระทบก่อนนำไปใช้จริง ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความแม่นยำในการวางแผนเมืองอย่างมีประสิทธิผล
จากไซโลข้อมูลสู่การบูรณาการอัจฉริยะ
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอดีต คือการทำงานแบบแยกส่วนของหน่วยงาน ข้อมูลจำนวนมากถูกจัดเก็บในระบบที่ไม่เชื่อมต่อกัน ส่งผลให้การวิเคราะห์และการตัดสินใจเกิดความล่าช้า ขาดภาพรวม และตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ไม่รวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยี AI สมัยใหม่ โดยเฉพาะโมเดลขนาดใหญ่และ Edge AI กำลังขจัดข้อจำกัดเหล่านี้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กล้องวงจรปิดที่เคยทำหน้าที่บันทึกภาพ สามารถประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ และแจ้งเตือนศูนย์ควบคุมเพื่อดำเนินการปรับสัญญาณไฟจราจรหรือส่งเจ้าหน้าที่ได้ทันที ระบบดังกล่าวทำงานอย่างไร้รอยต่อทั้งในระดับพื้นที่และศูนย์กลาง ช่วยให้เมืองตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งการบูรณาการข้อมูลและการตัดสินใจอัจฉริยะในระดับนี้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการเมือง เชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายแหล่งอย่างมีประสิทธิภาพ และออกแบบบริการสาธารณะที่สอดคล้องกับความเป็นจริงและการเปลี่ยนแปลงของเมืองอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของเมืองอัจฉริยะ ซึ่งไม่ใช่เพียงพื้นที่อยู่อาศัย แต่เป็นระบบที่เรียนรู้ ปรับตัว และเติบโตไปพร้อมกับผู้คน โดยเป้าหมายหลักของเมืองยุคใหม่คือการสร้างเมืองที่น่าอยู่ มีความเป็นธรรม และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรและบริการได้อย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างแท้จริงจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน พร้อมทั้งการกำหนดมาตรฐานร่วม และการบริหารจัดการที่มีวิสัยทัศน์ กล้าทดลอง และยึดมั่นในข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ เพื่อขับเคลื่อนเมืองสู่อนาคตที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างแท้จริง
แหล่งที่มา: เนื้อหาข้างต้นถูกรวบรวมโดย OPEN-TEC ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Tech Knowledge Sharing Platform) ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP ในงาน InfoComm Asia 2025